บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ เรื่อง แรงและความดัน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ 4) ศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ต่อการเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านม่วงวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 29 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ 2) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์หาค่า t-test ชนิด Dependent Samples
ผลการวิจัยพบว่า
1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ เรื่องแรงและความดัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 78.97/79.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 75/75
2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญของสถิติที่ระดับ .01
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญของสถิติที่ระดับ .01
4. ความพึงพอใจของนักเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.84, S.D. = 0.35)
Abstract
The purposes of the study were to 1) develop and test efficiency of lesson plans by using STEM Education with concept mapping on topic of force and pressure for Prathomsuksa five students on the efficiency of 75/75, 2) compare science process skills of Prathomsuksa five students both before and after using STEM Education with concept mapping, 3) compare learning achievement of Prathomsuksa five students both before and after using STEM Education with concept mapping and 4) study satisfaction of Prathomsuksa five students toward using STEM Education with concept mapping. The sample consisted of 29 Prathomsuksa five students, Ban Maung Wittaya School, during the second semester of academic year 2018. They were randomly selected by the cluster random sampling. The instruments for the study were included 1) lesson plans by using STEM Education with concept mapping, 2) science process skills test, 3) learning achievement test 4) and satisfaction evaluation. The collected data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation and t-test (dependent samples).
The study revealed the following results:
1. The efficiency of lesson plans by using STEM Education with concept mapping on topic of force and pressure for Prathomsuksa five students was 78.97 and 79.25 percent, respectively. The average percentage means of the constructed materials exceeded the expected criterion (75/75).
2. Science process skills of Pathomsuksa five students after using STEM education with concept mapping were higher than before using constructed materials at significant level of .01.
3. Learning achievement of Pathomsuksa five students after using STEM education with concept mapping were higher than before using constructed materials at significant level of .01.
4. Satisfaction of Pathomsuksa five students toward using STEM education with concept mapping were at the highest level.
คำสำคัญ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์, ผังมโนทัศน์, สะเต็มศึกษาKeyword
STEM Education, Concept Mapping, Scientific Process Skillsกำลังออนไลน์: 10
วันนี้: 262
เมื่อวานนี้: 1,235
จำนวนครั้งการเข้าชม: 788,045
อาคารบัณฑิตวิทยาลัย ชั้น 3 เลขที 680 หมู่ที่ 11 ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 47000 โทรศัพท์/ โทรสาร 0-4297-0033
บรรณาธิการ: รองศาสตราจารย์ ดร.สำราญ กำจัดภัย
ติดต่อ/สอบถาม: นางสาวศิวาภรณ์ เก่งสุวรรณ์
โทร: 0-4297-0033
